จำคุก 20 ปี ลุงพล คดีน้องชมพู่ ศาลให้ประกันตัว 5 แสนบาท

ลุงพล สนามข่าว 7 สี – มาดูคดีน้องชมพู่ หลังศาลพิพากษาจำคุก “ลุงพล” 20 ปี ก่อนที่ลุงพลจะประกันตัวเตรียมยื่นอุทธรณ์ ศาลกำหนดวงเงินประกันไว้ 500,000 บาท อะไรทำให้ศาลตัดสินว่าลุงพรเป็นฝ่ายผิด? มาดูกัน

จำคุก 20 ปี ลุงพร คดีน้องชมพู่ ศาลให้ประกันตัว 5 แสนบาท
มาดูข้อกล่าวหากันก่อน ศาลพิพากษาจำคุกลุงพรรวม 20 ปี 2 กระทงจาก 4 ข้อหาที่ตำรวจสรุปแล้วส่งให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาล ข้อหาประมาท จนผู้อื่นถึงแก่ความตาย 10 ปี จำคุก และข้อหาลักพาตัวเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ย้ายออกจากพ่อแม่โดยไม่มีเหตุอันสมควร มีโทษจำคุก 10 ปี

ศาลยกฟ้องทั้งสองข้อหากับป้าแตน
ส่วนป้าแทนศาลยกฟ้องแต่สั่งให้ลุงพรและป้าแทนชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง หลังทราบคำพิพากษา ทนายลุงพลได้ยื่นเงินประกัน 500,000 บาท เพื่อขอประกันตัว ไปฟังเสียงลุงพลกัน และเรื่องภาษากายลุงพลก็เครียดอย่างเห็นได้ชัด และมีบางครั้งที่เสียงสั่น

แม่น้องชมพู่ร้องไห้ศาลลงโทษผู้กระทำผิด
ผมได้ฟังมุมมองของลุงพลแล้ว คราวนี้มาดูแม่น้องชมพู่กันบ้าง หลังจากฟังคำพิพากษาแล้วจึงกอดนายวัชรินทร์หรือลุงแบมทั้งน้ำตาเพราะเป็นพยานคนสำคัญที่ยืนยันลุงพลและไทม์ไลน์ของศาลที่ลุงพลมุ่งหน้าไปยังภูเหล็กไฟ จนปรากฏว่าคำให้การของลุงพลเกี่ยวกับเวลาไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แม้ว่าลุงพลจะพยายามโน้มน้าวใจแล้วว่าสับสนตอนเจอลุงพลหรือแม้แต่ถูกขู่ เขาก็ยังไม่เปลี่ยนคำให้การ

แม่ดีใจรู้ชัดว่าน้องชมพู่ไม่ได้ตายคนเดียว มีช่วงหนึ่งที่แม่เปิดใจกับสื่อว่าความมืดมิดหายไปแล้ว ฉันหวังว่าคุณจะกลายเป็นนางฟ้า ไม่ต้องกังวล วันนี้ฉันว่าง เพราะฉันรู้ว่าใครทำให้น้องชายของฉันเสียชีวิต หลังจากนั้นก็ไม่ต้องคุยกับลุงพรแล้ว เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอีกต่อไป มันไม่เคยเหมือนเดิม

พร้อมส่งถึงชาวเน็ต หรือคนที่มาพูดถึงน้องสาว ความคิดเห็นเชิงลบก็ฆ่าเราได้ ไม่ว่าจะฆ่าหรือไม่ก็ตาม หรืออาจทำให้เราฆ่าตัวตายได้ ถ้าใจไม่เข้มแข็งพอ เพราะคำพูดสามารถทำลายชีวิตคนได้

เปิดใจทีมสืบสวนไขคดีน้องชมพู่
มาดูกันว่าเหตุใดศาลจึงพิพากษาจำคุกลุงพล 20 ปี สนามข่าว 7 สีของเราได้มีโอกาสสอบถาม พล.ต.นพสิน พูลสวัสดิ์ รองผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล ซึ่งเป็นคณะทำงานเฉพาะกิจในการคลี่คลายคดีน้องชมพู่ อธิบายว่า ตั้งแต่เริ่มคดีหนองชมพู่ ตำรวจไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ใครเป็นพิเศษ ทุกอย่างเชื่อมโยงกันด้วยหลักฐาน

โดยอ้างว่าลุงพรรู้เรื่องการหายตัวไปของน้องชมพู่ เป็นป้าตาลที่โทรมาแจ้งให้ทราบ ตรวจฐานสัญญาณมือถือป้าแตน พบว่าวันนั้นไม่มีการโทรติดต่อใครเลย ปรากฏว่าต้องสงสัยคำให้การของลุงพร

ทีมสอบสวนได้เรียกผู้ปกครองและญาติของน้องชมพู่จำนวน 15 คน มาสอบปากคำ ในขณะนั้นแต่ละคนได้ให้หลักฐานที่ชัดเจนว่าตนปรากฏตัวในเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไป มีเพียงลุงพลเท่านั้นที่หาพิกัดไม่ได้ แต่เขาพยายามแกล้งทำเป็นจะส่งพระมาและได้รู้ว่าน้องชมพู่ หายไปเพราะป้าแทนโทรมาบอก เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเพราะตอนนั้นบ้านลุงพลมีห้องขังเพียงห้องเดียว โทรศัพท์

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าน้องชมพู่ถูกตัด ทีมสอบสวนพบว่าผมของน้องชมพู่ถูกพบในรถของลุงพร ซึ่งชัดเจนว่าเป็นผมของน้องชมพู่ที่ถูกตัดด้วยของมีคมแบบเดียวกัน เพราะเกี่ยวพันกับเส้นผมของหนุ่มๆ ที่พบในภูเหล็กไฟ กลายเป็นผมเส้นเดียวกันจึงชัดเจนว่าเป็นลุงพรที่เอาน้องชมพู่ไป จนน้องชมพู่เสียชีวิต

ตลอด 3 ปีของการสืบหาความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ มีหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยงผู้ต้องหาเป็น 8 ประเด็น คือ

1. เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่ มีเนินชันมากกว่า 60 องศา ขวางกั้นในทุกเส้นทาง

2. พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานไปไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ

3. ประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่า เด็ก 3 ขวบ จะปีนป่ายไปถึงได้แค่ชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น

4. กรณีศึกษาการหลงป่าของชาวบ้านกกตูม ชาวบ้านสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว

5. แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ ยืนยันว่า พัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้

6. สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งบิดาและมารดาของน้องชมพู่ยืนยันว่า น้องชมพู่ไม่สามารถถอดเสื้อเองได้

7. พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ถูกตัดด้วยมีด เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น

8. นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง และกลัวป่า ที่ผ่านมาน้องชมพู่ไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง

ถึงตรงนี้หลายคนคงถามคำถามใหญ่อยู่ข้อหนึ่งว่า ทำไมป้าแทนถึงให้ศาลยกฟ้องทั้งสองข้อหา คือ ข้อหาทำอะไรกับศพหรือสิ่งรอบตัว? ? ในบริเวณที่พบศพ ก่อนชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น และผู้ก่อเหตุร่วมกันถูกดำเนินคดี ถือว่าผู้กระทำผิด

เขาให้เหตุผลว่าแม้ว่า mtDNA จากขนทั้งสามเส้นที่พบในศพของน้องชมพู่จะตรงกับของป้าแทน แต่ผลตรวจ mtDNA ก็ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ บอกได้คำเดียวว่าขนเหล่านี้เป็นเส้นแม่เดียวกันกับผู้เสียชีวิต ดังนั้นเส้นผมจึงอาจไม่ใช่ของป้าแตน จึงมอบผลประโยชน์ที่สงสัยให้แก่จำเลยทั้งสองคดี

คำตัดสินของศาลถือเป็นอีกบทพิสูจน์การทำงานของทีมไขคดีที่นอนไม่หลับปีนภูเขา 8 ลูก 9 ลูก กว่า 3-4 เดือน เพื่อหาหลักฐานให้ได้มากที่สุด ยื่นสืบพยานต่อศาล เพื่อให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษในสิ่งที่ทำกับเด็กอายุไม่ถึง 3 ขวบ

เราเรียนรู้บทเรียนอะไรจากเรื่องนี้? โดยเฉพาะหน้าที่สื่อ เพราะในกรณีนี้ลุงพรเป็นผู้ต้องสงสัยเป็นจำเลย แต่กลับกลายเป็นว่า ลุงพร-ป้าตาล มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้คนต่างโหยหาแสงสว่างเหมือนลุงพล-ป้าแทน มันเป็นชิ้นเนื้อที่ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องจริยธรรมหรือศีลธรรม

จากนักโทษกลายเป็นคนดัง มีคนสนใจ นำเสนอข่าว ขุดรูปลุงพรในอดีตบอกว่าหล่อสุดๆ ชื่นชมรูปลักษณ์ภายนอกจนลืมมอง เขาคือผู้ต้องสงสัยที่ทำให้เด็กอายุ 3 ขวบเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจ สร้างภาพจนลุงพลและป้าแทนมาเป็นพรีเซนเตอร์ เข้าเมืองเดินเป็นแบบอย่าง คนแห่ไปดูกันจนห้างพัง หรือแม้แต่เพลง “ลุงพรป่าแตน” ก็แต่งขึ้นมา และได้ไปเล่นเอ็มวีเพลง เถ้าแก่น้อย ของจินตหรา พูลลาภ

ที่สำคัญลุงพลและป้าตาลมีช่อง YOUTUBE ของตัวเอง ถ่ายทอดกิจวัตรประจำวัน กิจกรรมแบบดั้งเดิมต่างๆ มีสมาชิก 482,000 ราย คลิป 8,474 รายการ ยอดดูมากกว่า 197,205,700 ครั้ง และรายได้จากเว็บไซต์ NoxInfluencer ประมาณ 8,663 บาทต่อวัน ประมาณ 259,899 บาทต่อเดือน และประมาณ 3,162,109 บาทต่อปี

นักวิชาการเชื่อว่าปัญหาเหล่านี้ลดความน่าเชื่อถือของสื่อ และอยากให้สื่อหรือคนที่เริ่มกระแสออกมารับผิดชอบ เพราะเป็นคนกลางคนสำคัญที่ทำให้จำเลยในคดีนี้เป็นไอดอลในวงการบันเทิง และสื่อเองก็ทำลายความน่าเชื่อถือของการรายงาน

เรื่องราวมหากาพย์ของคดีนี้กินเวลา 3 ปี 7 เดือน พลิกผันผ่าน 4 ผบ.ตร. สะท้อนกระบวนการยุติธรรมที่เปิดเผยครั้งนี้อย่างพิถีพิถัน หลักฐานแม้เพียงเส้นผมเดียวก็สามารถนำไปสู่อาชญากรรมได้ กรณีนี้ยังสะท้อนถึงความบิดเบือนของสังคมด้วย ที่เลือกดราม่าข้ามข้อเท็จจริงในคดี ลืมไปเลยว่ามีเด็กเสียชีวิต ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าทำไมเด็กๆ ถึงถูกพาไปภูเหล็กไฟ รวมถึงสาเหตุการเสียชีวิตด้วยในปัจจุบันยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน

ขอขอบคุณบทความจาก : Ch7